|
|
|
แทบไม่น่าเชื่อว่า หนังสือโนเนมที่แทบจะไม่มีคนรู้จัก
จะส่งแรงกระเพื่อมในสังคมได้ไม่แพ้หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คดังๆ
ใต้ฟ้าเมืองไทยประเทศนี้ "คู่มือวัยใส"
เป็นชื่อของหนังสือขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มนี้
ซึ่งมีจำนวนหน้าเพียง 32 หน้าเท่านั้น
แต่เนื้อหาภายในทำเอาพ่อ-แม่ผู้ปกครอง
นักวิชาการหลายคนที่เปิดอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดอาการสะดุ้งแทบจะตกเก้าอี้
เพราะตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย
เนื้อหาหนังสือคู่มือวัยใส
จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศศึกษาทั้งสิ้น
ไล่เลียงมาตั้งแต่เรื่องสรีรวิทยาของหนุ่ม-สาววัยแตกพาน
เรื่อยไปตั้งแต่ภายนอกจนถึงรายละเอียดของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
แต่ที่ไม่ธรรมดานั้น อยู่ในหน้า 17 ของหนังสือ
หัวข้อคือ ถ้าเรามีความรู้สึกทางเพศ จะทำอย่างไร?
นั้น คู่มือวัยใส เริ่มเกริ่นว่า
ความรู้สึกทางเพศเป็นความต้องการตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์
จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อหญิง-ชายเข้าสู่วัยรุ่น
และฮอร์โมนในร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
เกิดแรงขับทางเพศที่เป็นตัวการก่อให้เกิดความต้องการทางเพศ
ซึ่งแต่ละคนจะมีความต้องการมากน้อยต่างกันไป
วัยรุ่นแต่ละคนจะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ในการสนองความต้องการทางเพศให้กับตนเอง
โดยการสัมผัสส่วนต่างๆ ของร่างกาย
โดยเฉพาะการสัมผัสที่บริเวณอวัยวะเพศเพื่อลดความกดดันทางกาย
และให้เกิดความผ่อนคลาย หลังจากนั้นจึงค่อยๆ
พัฒนาวิธีการสัมผัสอวัยวะเพศของตนจนถึงจุดสุดยอด
และจะเรียนรู้วิธีการที่จะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
จากนั้น หนังสือได้บรรยายถึงวิธี
และเทคนิคการสำเร็จความใคร่ของหญิง-ชายอย่างละเอียดยิบ
พร้อมกับใช้ศัพท์แสงเรียกชื่อวิธีการสำเร็จความใคร่อย่างโจ่งแจ้ง
เช่นชายเรียกเป็นกีฬาไทยชนิดหนึ่ง
ซึ่งนิยมเล่นกันในทุ่งกว้างกลางฤดูร้อน
ส่วนฝ่ายหญิงเรียกเป็นกีฬาทางน้ำอย่างหนึ่งที่ใช้คันเบ็ดเป็นอุปกรณ์
และสรุปในตอนท้ายว่า
การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองกี่ครั้งถึงจะพอ
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สุขภาพ
และสภาวะจิตใจของแต่ละคน
จุดสุดยอดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน
"ทุเรศสิ้นดี" เป็นวลีแรกที่อาจารย์แม่ รศ.สุนีย์
สินธุเดชะ ประธานบริหารวิทยาลัยรัตนบัณฑิต กล่าวกับ
คม ชัด ลึก
หลังจากทราบเนื้อหาโดยละเอียดเกี่ยวกับการใช้ภาษาบางตอนของหนังสือคู่มือวัยใส
พร้อมกับวิจารณ์หนังสือเล่มนี้อย่างเผ็ดร้อนว่า
ใช้ภาษาไทยไม่ถูกกาลเทศะในการสื่อเรื่องเพศศึกษา
ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ถ้อยคำบรรยายที่เถรตรงขนาดนี้
การนำเสนอน่าจะเลี่ยงใช้วิธีการพรรณาโวหารแบบวรณคดีไทย
ซึ่งผลที่จะตามจะไม่ใช่เป็นการสอนเรื่องเพศศึกษาตามวัตถุประสงค์
แต่กลับกลายเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนฝักใฝ่กับเรื่องเพศมากขึ้น
"อย่ามาอ้างเลยว่าเป็นการสอนเพศศึกษายุคใหม่
ทำให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น
ความคิดที่สอนเพศศึกษาแบบเปิดกว้างขัดกับวัฒนธรรมไทย
ปู่ย่า-ตายาย
พร่ำสอนมาหลายชั่วคนว่าเป็นหญิงให้รักนวลสงวนตัว
แต่กลับจะให้ผู้คนยอมรับให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
แล้วสอนวิธีป้องกันไม่ให้ตั้งท้องป็นเรื่องที่รับไม่ได้"
อาจารย์แม่กล่าว
และว่าเรื่องนี้กำลังขัดขานโยบายจัดระเบียบสังคมของรัฐบาล
ที่กำลังพยายามจัดระเบียบให้เยาวชนเข้าไปอยู่ในกรอบสังคมไทยอันดีงาม
เช่นเดียวกันกับ ดร.เสรี วงศ์มณฑา
นักวิชาการด้านการประชาสัมพันธ์
ตำหนิสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ให้การสนับสนุนเงินงบประมาณจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้นับล้านบาทว่า
ทำไปโดยไม่พิจารณาอย่างรอบคอบ
"การสอนเพศศึกษาไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้
น่าจะมีทางออกตรงกลางระหว่างศัพท์แสงทางวิชาการ
และภาษาทางเพศ ฉะนั้น
เรื่องนี้จะต้องมีการทบทวนถึงความเหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทยด้วย"
ดร.นะยะ กล่าว
แต่สำหรับเจ้าของลิขสิทธิ์หนังสือคู่มือวัยใส
นายสมศักดิ์ เวียงย่างกุ้ง ผู้อำนวยการสยาม-แคร์
กลับยืดอกภูมิใจกับหนังสือเล่มนี้
เพราะเขาเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องยอมรับกันเสียทีว่า
เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ฉะนั้น
การสอนให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาต้องตรงจุด
ไม่อ้อมค้อมเหมือนที่แล้วมา ทั้งนี้
คู่มือวัยใสตั้งใจที่จะให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างถึงแก่นจริงๆ
และตั้งใจที่จะให้แตกต่างจากตำราสุขศึกษาที่มีเนื้อหาเชิงวิชาการมากเกินไปจนเด็กไม่เข้าใจ
ก่อนที่จะตีพิมพ์
ได้มีการวิจัยสอบถามความเห็นวัยรุ่นสังกัดกลุ่มเยาวชน
ต้นกล้า มุกดาหาร และวัยรุ่นทั่วไปถึง 2 ปี
จึงได้ข้อสรุปว่าภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาที่วัยรุ่นพูดคุยกันอยู่แล้ว
จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าภาษาทางวิชาการ
ไม่ได้มีเจตนายั่วยุ
หรือส่งเสริมให้เด็กหมกมุ่นกับเรื่องเพศ
แต่ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องยอมรับความจริงว่า
เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย
และควรให้เยาวชนรับรู้อย่างถูกต้อง
"อยากถามว่าวัยรุ่นคนไหนไม่เคยช่วยตัวเองบ้าง
ทั้งหญิง-ชาย ร้อยละเก้าสิบเก้าเคยทั้งนั้น
คู่มือวัยใสจึงไม่ใช่การชี้โพรงให้กระรอก
แต่ข้อเท็จจริงแล้วกระรอกลงรูทุกตัวอยู่แล้ว
เราเพียงเข้ามาแนะนำ
และให้เขาป้องกันผลเสียที่จะตามมา
อย่างเช่นทำอย่างไรจึงไม่ตั้งครรภ์หากมีเซ็กส์ก่อนวัยอันควร"
นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสุวินิจ ปัญจมะวัติ หรือหนุ่ม
นักแสดงวัยรุ่นเรื่อง จันดารา
ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.5 ร.ร.สุรศักดิ์มนตรี
ให้ความเห็นว่า คู่มือวัยใสใช้ถ้อยคำเปิดเผยไปหน่อย
แต่ไม่รู้สึกอะไร
เพราะเป็นศัพท์ที่ใช้กันในหมู่วัยรุ่นอยู่แล้ว
สำหรับผู้ใหญ่มาอ่านเจอเข้าอาจจะตกใจ
"ผมว่ามีหนังสือแบบนี้ก็ดีอย่างเสียอย่างนะ คือ
เป็นเรื่องที่วัยรุ่นอยากรู้ ใช้คำเข้าใจง่าย
ต่างจากวิชาสุขศึกษาที่ไม่ค่อยน่าสนใจ
เพราะเป็นเรื่องวิชาการเกินไป เด็กไม่ค่อยเข้าใจ
แต่พ่อ-แม่คงรับไม่ได้" ดาราวัยรุ่น กล่าว
นายทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ ประธานสภาเยาวชน ปี 2543
อายุ 16 ปี กำลังศึกษาชั้น ม.4
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กล่าวว่า
ยังไม่เคยเห็นหนังสือเล่มดังกล่าว
แต่เห็นด้วยที่จะมีหนังสือซึ่งเปิดให้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นไปในลักษณะเชิงวิชาการ
ชีววิทยา สรีรวิทยา กายวิภาค
ไม่ได้ออกมาในรูปของลามกอนาจาร
"ผมว่าเรื่องเพศเปิดไปเลยก็ดี
เพราะถ้าไม่ได้ออกมาในรูปของตัวหนังสือที่ถูกต้อง
ปัจจุบันก็มีสื่อลามกมากมายที่จะเข้าถึงได้
เรียกว่ายิ่งปิดมันก็ออกมาด้วยวิธีอื่นๆ
ซึ่งถ้ายิ่งออกมาอย่างไม่เปิดเผย ทางการควบคุมไม่ได้
กลายเป็นว่าต้องตามไปแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ" นายทศพล
กล่าว
คู่มือวัยใส จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2543 จำนวน
5,000 เล่ม
และได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวางจนหนังสือที่แจกไปตามสถานศึกษาทั่วประเทศหมดลงภายในเวลา
1 เดือน
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงได้เข้ามาสนับสนุนเงินงบประมาณจัดพิมพ์ครั้งที่
2 เมื่อปี พ.ศ. 2545 จำนวน 100,000 เล่ม
ขณะเดียวกัน บนแผงหนังสือบ้านเราก็มีหนังสือ
และตำราสอนเพศศึกษาแนวใหม่เกิดขึ้นมาหลายเล่ม
และได้รับการตอบสนองจากผู้อ่านเป็นอย่างดี
สะท้อนให้เห็นว่า
คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะเปิดกว้างยอมรับเรื่องเพศศึกษาในชีวิตประจำวันมากขึ้น
แม้คู่มือวัยใสจะสร้างให้เกิดกระแสความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับวิธีการสอนเพศศึกษา
แต่ก็ถือว่าเป็นการตอกย้ำสังคมให้หันมาสนใจ
และร่วมกันตัดสินอย่างจริงจังว่า
การสอนเพศศึกษาควรจะกระมิดกระเมี้ยนสอนกันแบบเก่า
หรือจะเปิดกว้างกันอย่างอย่างเต็มที่
หรือจะประสานสองแนวทางเข้าด้วยกัน ด้วยทางสายกลาง
ผลประโยชน์ก็จะตกกับเยาวชน
ซึ่งสับสนแกว่งไกวกับเรื่องนี้มานานแล้ว
|
|
|
|
|
|