|
|
|
สวัสดี
เพื่อนๆ นักเรียนทุกคน
ในรอบปีที่ผ่านมานี้
เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ในวงการศึกษาของชาติ
ได้มีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษา มีการออก พรบ.
การศึกษาแห่งชาติฉบับแรกออกมา
ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าประเทศไทยของเราได้เริ่มตื่นตัวในเรื่องนี้เสียที
... ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ ...
และมีความเคลื่อนไหวอีกหลายอย่าง จากทุกฝ่ายในสังคม
รวมทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับระเบียบบางอย่างอันเป็นที่ข้องใจมานาน
เช่น ในเรื่องทรงผมนักเรียน
ซึ่งมีการพูดถึงกันมาหลายครั้งแล้ว
ในฐานะที่พวกเรานักเรียนทั่วประเทศเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง
ทาง StudentNet Thailand
จึงได้ร่างแถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้น
จากการระดมความคิดของเหล่าสมาชิกระดับเสนาธิการ
และด้วยความร่วมมือของเพื่อนนักเรียนอีกหลายคน
จึงได้วิเคราะห์ปัญหานี้ไว้เป็นข้อๆ จากแง่มุมต่างๆ
กัน
เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องนี้ต่อไป
ว่ากันว่า การบังคับให้ตัดผมสั้น
เป็นการฝึกเด็กให้อยู่ในระเบียบวินัยเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
(ซึ่งถ้าได้ผลจริงสิงคโปร์คงต้องมาดูงานจากเรานานแล้ว)
ทุกๆ คนครับ
ระเบียบวินัยมีไว้เพื่ออะไร?เพื่อให้เกิดผลดีต่อสังคมโดยส่วนรวมมิใช่หรือ?
แต่ถามหน่อยว่าการที่ผมบนหัวเราจะยาวหรือสั้น
มันไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือเปล่า?
แล้วเราก็ไม่ใช่พระภิกษุ นักโทษ หรือทหาร
แต่เป็นเด็กนักเรียนที่มีชีวิตจิตใจ
มองอีกแง่หนึ่ง
ก็เพราะมีการบังคับใช้กฎเหล่านี้มิใช่หรือ
ที่ทำให้สังคมเกิดความเคยชินจนเกิดเป็นค่านิยมว่า
เด็กดีความประพฤติเรียบร้อยต้อง "ใส่เสื้อในกางเกง
นุ่งกางเกงขาสั้นแค่หัวเข่า หิ้วกระเป๋าหนังสีดำหนัก
5 กิโล ตัดผมทรงอัปลักษณ์ครึ่งๆ กลางๆ"
มาจนถึงทุกวันนี้?
ทราบหรือไม่? กฎระเบียบข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของประกาศคณะปฎิวัติที่ออกมาเมื่อปี
พศ. 2515 (ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาไม่นานนัก)
โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ( ไม่มีอะไรมาก
แค่บอกไว้พอให้รู้ที่มาที่ไปเฉยๆ )
คนหลายคนอ้างว่า เด็กไทยยังไม่มีความรับผิดชอบ
จึงต้องบังคับกัน ถ้าเช่นนั้น
ทำไมเราถึงไม่ปลูกฝังความรู้สึกรับผิดชอบ
การเคารพสิทธิของตัวเองและผู้อื่นให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ
ที่จะเติบโตขึ้นมาล่ะครับ?
... มันหมายความว่ายังไงกัน
ที่บอกว่าเด็กฝรั่งรู้จักหาเงินเอง
แต่เด็กไทยเอาแต่แบมือขอพ่อแม่ ...
ก็ค่านิยมของสังคมเองไม่ใช่หรือที่เป็นข้อจำกัด?
(ถ้ามีเด็กทำงานเลี้ยงตัวเองก็คงมีคนบอกว่ามีหน้าที่เรียนหนังสือก็เรียนไปเรื่องอื่นไม่ต้องยุ่ง
ยิ่งจะเลิกเรียนกลางคันมาตั้งบริษัทแบบนาย Bill
Gates ด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง ) --
สภาพการณ์แบบนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่า
"โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง"?
และขอความกรุณาอย่าดูถูกความสามารถของนักเรียนไทยให้มากนัก
เราขอบอกไว้เลยว่าลึกๆ
แล้วเด็กส่วนมากมีความรู้สึกรักดีพอสมควร
แต่การเอาแต่เรียนอย่างเดียวนั้นอาจเข้าทำนอง
"ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ก็ได้
ซึ่งผลลัพธ์นั้นพวกเราก็คงได้เห็นกันมาอย่างเพียงพอแล้วในสังคมทุกวันนี้
... ขอย้ำว่า
การสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดมาบังคับแต่เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ซึ่งคงจะต้องตามแก้กันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
มองในแง่ชีววิทยา
ขั้นตอนของการวิวัฒนาการนับล้านปีกว่าจะมาเป็นสัตว์ประเสริฐที่เรียกกันว่า
"มนุษย์" นั้น
ได้ทำให้ขนตามร่างกายหดหายไปเกือบทั้งหมด
เหลือเพียงบางแห่งเท่านั้น รวมทั้งผมด้วย
หมายความว่ามันต้องมีประโยชน์ นั่นคือ
ช่วยป้องกันกะโหลกศีรษะซึ่งบรรจุสมองอันเป็นอวัยวะสำคัญที่สุดและเปราะบางอย่างยิ่งจากความร้อนหนาว
และการกระทบกระเทือนจากภายนอก
อีกอย่างหนึ่ง
ถ้าหากผมยาวทำให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองน้อยลงจนโง่อย่างที่อาจารย์บางท่านกล่าวไว้แล้ว
โดยอาศัยหลักการคัดเลือกตามธรรมชาติ
ทุกวันนี้ก็น่าจะมีคนหัวล้านเต็มบ้านเต็มเมือง
และเรื่องการไว้ผมยาวหรือสั้นก็จะไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย
ค่าใช้จ่ายที่ต้องสิ้นเปลืองไปกับการตัดผมทั้งหมด
ในสมัยนี้นับว่าไม่ใช่น้อย
และแม้จะเอาไปเทียบกับค่าใช้จ่ายในการซื้อแชมพู
ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ก็น่าจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ
ลองเทียบดูสิครับ แชมพูขวดละกี่บาท
ขวดหนึ่งใช้ได้กี่สัปดาห์
(คงมีคนจำนวนไม่มากนักที่จะขยันสระผมอย่างประณีตได้ทุกวี่ทุกวัน)
และตัดผมครั้งละกี่บาท
ซึ่งหากจะให้สั้นพอรอดจากการตรวจผมในโรงเรียนที่เข้มงวดได้ก็คงต้องไปตัดทุกๆครึ่งเดือน
แถมถ้าไม่ผ่าน โดนตัดแหว่งก็ต้องไปตัดแก้มาอีก
อาจเป็น 2-3 รอบ
กว่าจะสั้นเกรียนเป็นที่พอใจของท่านอาจารย์
และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือเส้นผมมีลักษณะคล้ายกับเล็บและเซลล์ร่างกาย
นั่นคือยิ่งเราไปทำลายมันมากและบ่อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ส่วนนั้นเร่งการเจริญเติบโตเร็วขึ้น
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับต้นทุนที่คิดเป็นตัวเงินไม่ได้อีก
เช่น สุขภาพจิตของครูและนักเรียน
สรุปแล้วไม่น่าจะคุ้มกัน
ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน
ย่อมปรารถนาเป็นที่ยอมรับในสังคม
และต้องการแสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นซึ่งต้องประสบความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน
มีความรู้สึกรักสวยรักงามซึ่งก็เป็นปกติธรรมดา
และแสวงหาการยอมรับจากเพื่อนๆ และผู้คนรอบข้าง
การมีทรงผมที่ดูดีเข้ากับใบหน้าและบุคลิก
ก็เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเองทางหนึ่ง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ในการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
และซับซ้อนมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เคยเข้าใจ
ว่าเป็นแค่เรื่องอยากหล่อเพื่อจะไปจีบสาวเท่านั้น
อีกสิ่งหนึ่ง
ที่ต้องยอมรับก็คือโลกของเด็กทุกวันนี้กว้างไกลและหมุนเร็วกว่าแต่ก่อนมากอย่างเทียบกันไม่ได้
ชีวิตของเราไม่ได้มีแค่ โรงเรียน กับ บ้าน อีกต่อไป
...ระบบการศึกษาของไทยนั้น
จำกัดกรอบความคิดของบุคคลมากเกินพอแล้ว
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราได้กลายเป็นสังคมที่ขาดความคิดสร้างสรรค์
บางท่านบอกว่า
ความคิดที่จะไว้ผมยาวนี้เป็นการนำเอาเศษสวะกากเดนของวัฒนธรรมฝรั่งเข้ามาปนเปื้อน
ชาติของเรามีเอกลักษณ์วัฒนธรรมอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่ภาคภูมิมานับพันๆ ปี ... ครับ
อันนี้เป็นเรื่องของอดีต
และเราถือว่าคนไม่มีอนาคตมักจะชอบหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว
... ต่อมามีผู้โต้แย้งว่า
วัฒนธรรมที่เปิดเผยและให้เสรีภาพกับเด็กมากนั้น
ทำให้สังคมต่ำทรามลง
แล้วก็ยกตัวอย่างเรื่องเด็กอเมริกันใช้ปืนยิงกราดฆ่าคนมาประกอบ
(ถ้าเราอ้างอิงญี่ปุ่น
ก็คงจะมีคนหยิบเอาสถิติการฆ่าตัวตายของเด็กนักเรียนมาพูดเหมือนกัน)
แล้วที่เราได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น
เล่นเส้นเล่นสาย
แถมเป็นนักลอกเลียนแบบชนิดไร้จรรยาบรรณล่ะ
ทำไมไม่มีใครพูดถึงบ้าง? ทำเป็นลืมหรือไม่รู้จริงๆ
กันแน่??
...ไม่มีชาติไหนดีหรือเลว 100% หรอกครับ
และพวกเราก็มั่นใจว่าการบังคับตัดผมสั้นเป็น
"เอกลักษณ์ไทยส่วนเกิน" อย่างหนึ่งที่เราไม่ต้องการ
เช่นเดียวกับนิสัยชอบตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก
(สังเกตให้ดีๆ นะครับ
ลองอ่านข้อนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วดูเทียบกับข้อ
2,3 คุณอาจจะเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง...)
เราได้แต่อ้างอยู่ตลอดเวลาว่า
"เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ" แต่เอาเข้าจริงๆ
แค่หลักกาลามสูตร ทำไมเราถึงยังปฏิบัติตามกันไม่ได้?
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
และประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงตัวอย่างให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า
ผู้ที่เอาแต่ยึดติดอยู่กับความคิดและหลักการเดิมๆ
ล้วนแล้วแต่ต้องประสบกับความทุกข์และตามมาด้วยความเสื่อมสลาย
ทั้งนี้เพราะไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมได้
จากเหตุผลและความชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง
เราจึงจะขอสนับสนุนให้
ออกกฎคุ้มครองสิทธิในการดูแลทรงผมตัวเองของนักเรียนไทย
โดยเฉพาะในชั้น ม.ปลาย ...
โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งจะออกกฎเพื่อลิดรอนสิทธิข้อนี้ของนักเรียนไม่ได้อีกต่อไป
ลด ละ เลิก
ธรรมเนียมการกล้อนผมนักเรียนให้แหว่งจนดูเป็นที่ทุเรศสายตาแก่ผู้พบเห็น
อันเป็นที่นิยมในเหล่าอาจารย์ฝ่ายปกครองทั้งหลาย
เนื่องจากดูรูปการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นการกระทำของอารยชน
เมื่อมีผู้กล่าวว่า
เรื่องไว้ผมยาวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระควรเอาเวลาไปเรียนหนังสือดีกว่า
เราก็กล่าวได้เช่นกันว่า
มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระจนไม่น่าจะต้องออกเป็นระเบียบมาบังคับ
ควรเอาเวลาและพลังงานไปพัฒนาการศึกษาของชาติในด้านอื่นมากกว่า
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่า
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานแล้ว
หากแต่ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเดียวของการศึกษาชาติไทย
...
มันคือก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดบนยอดของภูเขาน้ำแข็ง
เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดอย่างหนึ่ง
ลองคิดดู เมื่อเราไม่ได้อยู่ในโรงเรียน
เราก็ยังเปลี่ยนชุดแล้วกลับมาเป็นตัวเราเองเพื่อจะไปเที่ยวหรือพักผ่อนได้
...
แต่เราคงไม่อาจจะไปบังคับเส้นผมให้มันยืดหดตามใจชอบได้แน่
...
ความพยายามที่จะต่อสู้เรียกร้องสิทธิเช่นนี้ในครั้งก่อนๆ
ที่เราเคยเห็น ส่วนมากมิได้มีการทำอย่างจริงจัง
และประเด็นที่ยกมายังคงกระจัดกระจาย
ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนพอ
จึงถูกลากประเด็นไปมาและถูกขยายให้ไปพัวพันกับเรื่องอื่นๆ
ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง
จนพลังลดลงและเงียบหายไปในที่สุด ...
เราพยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้
และสรุปแนวคิดให้ครอบคลุมทุกด้านออกมาเป็นแถลงการณ์รวบยอดฉบับนี้นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่านี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด
ไม่มีชัยชนะใดได้มาโดยง่ายดาย
แถลงการณ์ในหัวข้อนี้อาจไม่ใช่ฉบับสุดท้าย
เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะช่วยจุดประกายความคิดให้ผู้คนทั่วไปหันมานึกถึง
และช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ให้ถึงปลายทางเสียที
พวกเราคือเยาวชนคนรุ่นใหม่
จะเป็นพลังสำคัญของประเทศชาติต่อไปข้างหน้า
จงระลึกไว้ว่า หากเราไม่กำหนดอนาคตของตัวเอง
จะหวังสิ่งใดมาช่วยเหลือได้เล่า?
ทีมงาน StudentNet Thailand
http://thaistudents.hypermart.net
27 ธค. 2542 |
|
|
|
|
|